วิธีการรักษาอาการท้องลม

รวมความรู้ที่เกี่ยวกับอาการท้องลม ภาวะแท้งชนิดหนึ่ง

อาการท้องลมจัดเป็นภาวะแท้งประเภทหนึ่ง ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงระยะแรกของการตั้งครรภ์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Blighted ovum เป็นอีกหนึ่งภาวะที่สร้างความสับสนให้แก่คุณแม่เป็นอย่างยิ่ง โดยอาการท้องลมนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร มีความอันตรายหรือไม่ และหลังจากที่เกิดอาการท้องลมแล้วจะต้องมีทางแก้ไขอย่างไรต่อไป จะต้องมีการขูดมดลูกหรือไม่ ในบทความนี้เราจะมาไขข้อกระจ่างกัน

ทำความรู้จักกับอาการท้องลม

สำหรับอาการท้องลมคือการที่ไข่ถูกทำลาย ทำให้ทารกไม่อาจที่จะเติบโตได้ ซึ่งมีคำเรียกอีกคำว่าการตั้งครรภ์แบบโลหิตจาง โดยจะไม่มีตัวอ่อนหรือทารกที่กำลังพัฒนาอยู่ในครรภ์ แต่ไข่ที่ถูกทำลายไปนั้นก็ยังถูกสร้างอยู่ในฮอร์โมน ดังนั้นในบางครั้งการตรวจครรภ์อาจแสดงผลว่า คุณแม่กำลังตั้งท้องอยู่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้

โดยการแท้งในลักษณะนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ในสัปดาห์ที่ 7 – 12 ของการตั้งครรภ์ ต่อมาร่างกายของคุณจะเกิดความเข้าใจว่าการตั้งครรภ์นี้ทารกไม่ได้มีการพัฒนาอย่างเหมาะสม จึงเริ่มขับเลือดและขับเนื้อเยื่อออกมาจากมดลูก อาการท้องลมสร้างความเศร้าเสียใจให้กับคุณแม่เป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าหรือความทุกข์ขึ้นภายในจิตใจ ทำให้เกิดภาวะอารมณ์ที่แตกต่างกันเช่น ความโกรธ, ความเสียใจ,ความรู้สึกผิดโทษตัวเองและอื่น ๆ วิธีตรวจสอบว่าการตั้งครรภ์ของคุณนั้นเป็นภาวะท้องลมหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ด้วยการอัลตร้าซาวด์

วิธีการรักษาอาการท้องลม

หลังจากที่ทราบแล้วว่า คุณเกิดอาการท้องลมขึ้นมา สามารถทำการแก้ไขได้ด้วยหลายวิธี แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าคุณต้องการให้ร่างกายขับเนื้อเยื่อหรือเลือดต่าง ๆ ออกมาตามธรรมชาติ ก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ขับสิ่งที่ร่ายกายไม่ใช้แล้วออกมา แต่ในกรณีที่จู่ ๆ มีเลือดออกมากขึ้น หรือรู้สึกปวดอย่างรุนแรง หรือรู้สึกไม่สบายประการใดควรที่จะต้องรีบไปพบแพทย์โดยทันที

อาการท้องลม ลดโอกาสในการมีลูกในอนาคตหรือไม่?

ภาวะท้องลม ไม่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ภายในอนาคต ทำให้คุณแม่หลายหลายคนสามารถมีโอกาสที่จะมีลูกได้อีกตามต้องการ

อธิบายอาการท้องลมโดยละเอียด

ไข่ที่ไม่สมบูรณ์จะเกิดขึ้นเร็วมากในกระบวนการพัฒนาตัวอ่อน เมื่ออสุจิเดินทางไปถึงไข่ ไข่จะปฏิสนธิและเริ่มการผลิตเซลล์ใหม่อย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในการตั้งครรภ์ปกติ ไข่ที่ปฏิสนธิจะเติบโตจากก้อนเซลล์ไปเป็นตัวอ่อนภายในวันที่ 10 ของการพัฒนา หลังจากนั้นตัวอ่อนจะฝังตัวเข้าไปในผนังมดลูก กระบวนการนี้จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนการตั้งครรภ์ในระดับสูงในร่างกายและทำให้รกเริ่มพัฒนา ทารกในครรภ์จะเติบโตต่อไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และประมาณสัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์ ในที่สุดก็จะมองเห็นได้จากการตรวจอัลตราซาวนด์

อาการท้องลม เกิดจากการที่กระบวนการเริ่มต้นนี้ดำเนินการอย่างไม่เสร็จสมบูรณ์ บางครั้งไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว ไม่สามารถพัฒนาเป็นตัวอ่อนได้ แต่ยังคงฝังตัวอยู่ในมดลูก หรือมีอีกกรณีที่ที่เป็นไปได้คือการเปลี่ยนจากไข่ที่ปฏิสนธิไปเป็นตัวอ่อนประสบความสำเร็จ แต่ตัวอ่อนหยุดพัฒนาภายใน 2 – 3 วันหลังจากฝังตัวติด แพทย์จะทำการวินิจฉัยไข่ที่ถูกทำลาย จะทำอัลตราซาวนด์พร้อมทั้งตรวจสอบว่าถุงตั้งครรภ์นั้นว่างเปล่าหรือไม่ ถ้าไม่มีร่องรอยของตัวอ่อนแสดงว่าเกิดอาการท้องลมแน่แล้ว โดยถุงเปล่านี้สามารถยืนยันได้ภายในสัปดาห์ที่ 8 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งปกติแล้วจะเห็นตัวอ่อนได้ แต่ถ้าไม่เห็นก็แสดงว่ากระบวนการตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์

เมื่อเกิดอาการท้องลมขึ้นมา สิ่งแรกที่คุณแม่หลาย ๆ คนรู้สึกคือ ความเสียใจหรือพาลจนกระทั่งไปโทษตัวเอง ซึ่งคุณไม่ควรที่จะโทษตัวเองแต่อย่างใด เพราะเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าภาวะร่างกายจะไม่เกิดอันตรายมากนัก ในส่วนของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ร่างกายก็จะพยายามขับออกมาเอง แต่ในส่วนของสภาพจิตใจนั้นจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลและฟื้นฟูกันต่อไป แต่ก็ขอเน้นย้ำเลยว่าในอนาคต คุณแม่สามารถตั้งครรภ์ได้ใหม่อีกครั้งแบบไม่ต้องกังวลและไม่มีปัญหาอันใด แต่ในกรณีที่คุณพบกับภาวะท้องลมนี้ติดต่อกันหลายครั้ง ตั้งแต่ 2 – 3 ครั้งขึ้นไป แนะนำว่าควรให้ปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุด