ไขข้อสงสัยเป็นฝีไม่มีหัว รักษาได้ด้วยวิธีการใดบ้าง

ฝี คือโรคที่มีการเกิดขึ้นของตุ่มภายใต้ผิวหนัง ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่คอยรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันมากพอสมควร เนื่องจากจะมีอาการเจ็บตรงที่เป็นฝี จนทำให้บางครั้งเจ็บปวดมาจนเป็นไข้ได้เลยก็มี โดยฝีนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยการติดเชื้อ ทั้งการติดจากเชื้อรา การติดจากแบคทีเรีย หรือการติดจากอะมีบา อีกทั้งการเกิดฝีก็ยังเกิดขึ้นได้จากการที่ร่างกายมีความสกปรก มีภูมิคุ้มกันที่ต่ำ หรือมีความอ่อนแอ จึงทำให้สามารถติดเชื้อโรคเหล่านี้ได้ง่ายกว่าปกตินั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วฝีมักจะเกิดขึ้นในบริเวณที่มีความอับชื้น และบริเวณที่มีการเจริญเติบโตของเส้นขน เช่น บริเวณขาหนีบ หรือบริเวณรักแร้ ทั้งนี้ฝีที่เกิดขึ้นก็มีอยู่หลายลักษณะ หนึ่งในนั้นก็จะเป็นฝีที่ไม่มีหัวนั่นเอง ในบทความนี้ก็จะมาบอกเล่าเกี่ยวกับการเป็นฝีไม่มีหัว รักษาได้อย่างไรบ้าง

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของฝี ก่อนที่จะทราบว่าเป็นฝีไม่มีหัว รักษาอย่างไร

ก่อนที่จะได้ทราบถึงเรื่องของการเป็นฝีไม่มีหัว รักษาได้อย่างไรบ้าง ก็จำเป็นจะต้องทราบก่อนว่า ฝีไม่มีหัวนั้นคืออะไร ฝีไม่มีหัวเป็นฝีที่จะฝักอยู่ในส่วนที่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง หรือที่เรียกกันว่า ฝีหัวคว่ำ การเป็นฝีไม่มีหัวจะมีอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกายหลายอาการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเบื่ออาหาร ตัวเหลือง ร่างกายมีความซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีอาการภายในด้วยหรือเรียกกันว่าฝีภายใน ซึ่งจะมีอาการเจ็บหน้าอก ปวดท้อง ไอ และมีไข้

หากว่ามีการสังเกตเห็นว่าผิวหนังบริเวณที่เป็นมีตุ่มบวมแดงขึ้นมา แต่ไม่มีหนองไหลออกมาจากตุ่มนั้น น่าจะเกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อ หรือเซลล์ที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง จึงทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นที่ผิวหนังได้ ซึ่งสิ่งนี้ยังไม่ได้เรียกกันว่าฝี สาเหตุของการเกิดสิ่งนี้ขึ้นก็จะมานั่นเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในบริเวณที่เป็นแผล หรือมีรอยแผล หากว่ามีการเกาผิวหนังบริเวณนั้นก็จะถูกแยกออกจากกัน ทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ง่ายมากขึ้น จนนำไปสู่การติดเชื้อแบบอักเสบได้

ทั้งนี้หากพบว่ามีการอักเสบที่เนื้อเยื่อขึ้นแล้วไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ร่างกายก็ไม่สามารถที่จะกำจัดเชื้อโรคนั้นออกไปเองได้ อีกทั้งยังทำให้เชื้อโรคที่อยู่อาจจะมีความรุนแรงมากขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ ร่วมด้วย เมื่อไม่ได้มีการรักษาให้หาย ต่อมาการอักเสบที่เกิดขึ้นก็จะส่งผลให้เป็นฝีตามมา ซึ่งถ้ามีการกดก็จะพบว่ามีน้ำหนองไหลนองออกมาจากฝีที่เป็นอยู่นั่นเอง

เป็นฝีไม่มีหัว รักษาได้อย่างไรบ้าง

การรักษาฝีนั้นสามารถรักษาได้เอง โดยการใช้วิธีการประคบร้อนที่บริเวณฝีอักเสบ เพื่อเป็นการช่วยให้ฝีที่เกิดขึ้นนั้นหดตัวลง และสามารถที่จะระบายหนองออกมาได้ แต่ถ้าหากว่าในกรณีที่เป็นฝีมีขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร ฝีที่มีลักษณะเป็นฝีไม่มีหัว รักษาได้ด้วยการไปพบแพทย์ เนื่องจากหนองที่อยู่ภายในฝีไม่สามารถที่จะระบายออกมาเองได้ การไปพบแพทย์จะช่วยทำให้การรักษาฝีไปได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งเมื่อไปพบแพทย์ก็จะได้รับการรักษาด้วยวิธีให้ยาระงับอาการปวด ผ่าเอาหนองออกจากฝี หรือการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่หากพบว่ามีอาการที่รุนแรงมากหากไม่ได้รับการรักษาก็อาจจะทำให้มีภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาได้

อย่างไรก็ตามหากทราบว่าตนเองนั้นเป็นฝีแบบมีหัว หรือฝีไม่มีหัว โดยเฉพาะการเป็นฝีไม่มีหัว รักษาเองที่บ้านไม่ได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ารับการปรึกษาหาแนวทางการทำให้ฝีนั้นหายไป หากปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะทำให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลงได้ ซึ่งสำหรับใครที่ไม่อยากเป็นฝีควรที่จะรักษาร่างกายของตัวเองให้สะอาด หากพบว่าตนเองบาดแผลเกิดขึ้นบริเวณใด ก็ให้รีบทำความสะอาดแผลทันที เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และจะต้องใช้ผ้าสำหรับพันบาดแผลไว้ เพื่อเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ รวมถึงผู้ที่ไม่อยากเป็นฝีจะต้องไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกันกับใครด้วยนั่นเอง

ปวดขา อาการที่เจอได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย

การปวดขา เป็นอาการปวดที่มีบริเวณขา โดยอาจจะเกิดขึ้นบางจุด หรืออาจจะปวดทั่วทั้งขาก็ได้ ผู้ที่ปวดขาจะมีอาการชา ปวด หรือมีอาการร้าวที่ขาด้วย บริเวณที่มักจะปวดก็คือ ช่วงต้นขา น่อง หน้าแข้ง ซึ่งอาการปวดขานั้นอาจจะเกิดได้แบบต่อเนื่อง หรือเกิดขึ้นเป็นพัก ๆ ได้ด้วย อีกทั้งอาการปวดขาอาจเป็นผลที่มาจากโรคบางชนิด อาการบาดเจ็บ หรือการทำกิจกรรมมากจนเกินไป ทั้งนี้หากอยากทราบถึงสาเหตุที่แท้จริง ก็ควรที่จะไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาตามวิธีที่ถูกต้อง แต่ในเบื้องต้นหากมีอาการปวดที่ขาก็สามารถบรรเทาได้ด้วยตัวเอง ในบทความนี้จึงเอาวิธีบรรเทาอาการปวดขามาฝากกัน

วิธีบรรเทาอาการปวดขา แบบเบื้องต้น

  • พาดขาไปบนหมอน หรือเก้าอี้

วิธีการเอาขาพาดไปยังหมอน หรือเก้าอี้นั้น ใช้เวลาในการทำเพียงแค่ 5 – 10 นาทีเท่านั้น เพียงแค่ทำการหาหมอน เก้าอี้ หรืออะไรก็ได้ที่มีความต่างระดับ โดยจะต้องพาดขาไปให้สูงกว่าลำตัวขึ้นไปที่ประมาณ 45 องศา การทำท่านี้จะเป็นการช่วยบรรเทาอาการปวดขาได้ ทำให้การไหลเวียนของเลือดนั้นดีขึ้น ช่วยให้สามารถลดอาการบวมที่เกิดขึ้นบริเวณขาได้ดีอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ง่าย และทำได้ไม่ยาก แถมใช้เวลาไม่นานอีกด้วย

  • เอาเท้ายันกำแพงขณะที่นอน

การเอาเท้ายันกำแพงในขณะที่นอนอยู่นั้น เป็นวิธีการที่จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และทำให้กล้ามเนื้อที่ปวดตึงนั้นมีความผ่อนคลายมากขึ้น วิธีการทำก็คือให้ยันเท้าไปที่กำแพงโดยจะต้องมีความสูงของเท้าสูงจากพื้นประมาณครึ่งเมตร จากนั้นให้กระดกปลายเท้าสลับกันขึ้นลงทั้ง 2 ข้าง ซึ่งผลัดกันข้างละประมาณ 5 นาที

  • แก้อาการเมื่อยที่บริเวณน่อง ด้วยการยืดเหยียด

หากว่ามีอาการปวดขาที่บริเวณน่อง การทำวิธียืดเหยียดถือว่าเป็นวิธีที่ช่วยได้มาก วิธีการทำก็ไม่ยากแค่จะต้องทำการยืนขาข้างใดข้างหนึ่งออกไปที่กำแพง และขาอีกข้างจะอยู่ข้างหลัง โดยการยืนขาออกไปจะต้องทำให้ขาทั้งสองตั้งฉาก ซึ่งจะต้องยืดขาให้ตึงมากที่สุด จนกว่าจะรู้สึกว่าบริเวณส่วนของเข่า และขานั้นตึงเต็มที่ จากนั้นก็ค้างท่านั้นไว้ 10 – 30 วินาที หลังจากนั้นก็สลับข้างกันทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าอาการปวดตึงที่น่องนั้นดีขึ้น หรือหายไป

  • นวดฝ่าเท้าด้วยขวดน้ำเย็น

วิธีนี้จะใช้อุปกรณ์ในการทำที่ง่ายอีกเช่นกัน เพราะสามารถใช้ทั้งขวดน้ำเย็น และลูกบอล วิธีนี้จะช่วยในเรื่องของการบรรเทาอาการปวดที่ฝ่าเท้าได้ การทำก็ไม่ยากเลยเพียงแค่นำขวดน้ำ หรือลูกบอลมากลิ้งไปมาบนฝ่าเท้า จากนั้นก็ทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพอใจ อาการปวดบวมที่เท้าก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นแน่นอน

  • แช่เท้าในน้ำเกลือยิปซัม

วิธีการลดอาการปวดขาได้อีกวิธีหนึ่งก็คือ การนำเอาขาไปแช่ในน้ำเกลือยิปซัม โดยจะต้องแช่ไว้เป็นเวลา 30 นาที ซึ่งภายในกะละมังน้ำก็จะประกอบไปด้วยน้ำเต็มกะละมังบวกกับเกลือ 1 ถ้วย โดยน้ำที่นำมาใช้ควรจะเป็นน้ำอุ่น การใช้วิธีนี้จะช่วยให้สามารถลดอาการบวมที่เท้าจากการยืนนาน ๆ ได้ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งนั้นมีความผ่อนคลายลงมากขึ้น จากนั้นเมื่อแช่เท้าเสร็จก็สามารถอาบน้ำได้ตามปกติเลย

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าอาการปวดขานั้นสามารถที่จะบรรเทาอาการได้ด้วยตัวเองแบบไม่ยากเลย แต่หากว่าอาการปวดที่ขาหรือบริเวณขาทั้งหมดเป็นมาอย่างยาวนานแบบเรื้อรัง ก็ไม่ควรที่จะปล่อยไว้ให้เป็นเช่นนั้นต่อไป เพราะอาการที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรมากเหล่านี้ แน่นอนว่าเมื่อปล่อยให้เป็นไปนาน ๆ ก็จะสามารถทำให้กลายเป็นโรคอื่น ๆ ตามมาได้ด้วย ทางที่ดีเมื่อทราบว่าตนเองมีอาการปวดบริเวณขาบ่อย ๆ พยายามบรรเทาอาการมานานแล้วก็ยังไม่หายสักที ก็ถึงเวลาแล้วที่จะไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และทำการรักษาให้ตรงจุดต่อไป ก็จะทำให้อาการที่เป็นอยู่นั้นหายไปได้นั่นเอง

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคันอวัยเพศหญิงภายนอก อาการที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม

ผู้หญิงเป็นเพศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความสวยความงามมาก แต่นอกจากเรื่องความสวยความงามแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญและผู้หญิงควรจะให้ความสำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับโรคที่เกิดขึ้นกับอวัยวะเพศหญิง โดยอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะเพศนั้นสามารถที่จะบ่งบอกได้ว่าอาจจะเป็นโรคอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่ก็เป็นได้ อาการคันอวัยเพศหญิงภายนอกก็เช่นกันที่สามารถบ่งบอกถึงโรคบางอย่างได้

อาการคันอวัยเพศหญิงภายนอก คืออะไร

อาการคันช่องคลอด เมื่อมีอาการผู้ป่วยจะมีการคันอวัยเพศหญิงภายนอก หรือคันด้านในอวัยวะเพศ อีกทั้งบางรายเป็นตกขาวร่วมกับอาการคันด้วย ซึ่งอาการคันที่เกิดขึ้นนี้มักจะสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่เป็นมาก ๆ รวมถึงยังทำให้เสียความมั่นใจ เพราะอาการคันนี้อาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรืออาจมีการคัดรุนแรงจนเป็นแผล และอักเสบได้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้นอาการคันนี้ยังสามารถบ่งบอกได้ถึงสัญญาณเตือนของโรคต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น มะเร็งปากมดลูก ปีกมดลูกอักเสบและโรคอื่น ๆ

อาการคันอวัยเพศหญิงภายนอก อาจเกิดจากอะไร

อาการคันอวัยเพศหญิงภายนอก สามารถที่จะเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดอาการคันก็มีดังต่อไปนี้

  1. การติดเชื้อรา

คันอวัยเพศหญิงภายนอก ที่มาจากการติดเชื้อรา ไม่เพียงแค่จะมีอาการคันเท่านั้น แต่อาจจะมีอาการเจ็บหรือแสบ และผิวหนังที่อยู่บริเวณด้านนอกของอวัยวะเพศยังอาจจะมีผื่นแดงขึ้น อีกทั้งผิวหนังอาจจะบวมแดง นอกจากนั้นหากว่ามีการติดเชื้อราในช่องคลอดร่วมด้วย ก็จะต้องมีตกขาวออกมาที่ผิดปกติ นั่นคือการมีตกขาวในปริมาณที่มาก สีของตกขาวจะเป็นสีขาวขุ่น ตกขาวจะจับตัวกันเป็นก้อนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแป้งเปียกหรือนมบูด

สำหรับปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อราได้นั้น ก็มาจากการที่ใส่กางเกงคับเกินไป, เป็นคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะ, อยู่ในที่ที่อากาศร้อนชื้นทำให้เหงื่อออกมาก, คนที่เป็นโรคเบาหวาน, การทานยากดภูมิ, การสวนล้างช่องคลอดบ่อย ๆ, มีโรคที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรืออาจจะเป็นเพราะว่ากำลังตั้งครรภ์ ทั้งนี้การติดเชื้อราในช่องคลอดนั้น ไม่ได้เป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ก็ควรที่จะระมัดระวังหากว่าคู่นอนนั้นมีการติดเชื้อราอยู่ก็อาจจะทำให้มีการติดเชื้อได้

  1. การแพ้สัมผัส

การแพ้สัมผัสนั้น สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การที่แพ้ผ้าอนามัย, การแพ้ผงซักฟอก, การแพ้น้ำยาซักกางเกงใน, แพ้น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรืออาจจะเกิดจากการแพ้แป้งที่ได้นำมาทาบริเวณอวัยวะเพศ และการแพ้เรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย โดยอาการแพ้ที่เกิดขึ้นนั้นมักพบว่าจะมีผื่นแดงที่บริเวณผิวหนังร่วมกันด้วย

  1. มีโลนที่อวัยวะเพศ

มีโลนหรือเหาที่ขนอวัยวะเพศ สิ่งนี้มาสาเหตุที่ติดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ การใช้ผ้าเช็ดตัว หรือการใช้เสื้อผ้าร่วมกัน บางครั้งอาจจะติดมาจากการที่ใช้ห้องน้ำร่วมกัน ซึ่งอาการคันที่เกิดขึ้นนั้นมักจะคันมากในเวลากลางคืน

ในเบื้องต้นหากเกิดอาการคันอวัยเพศหญิงภายนอกหรือเกิดอาการคันที่อวัยวะเพศ ก็ต้องพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ และจำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงการเกา ถ้าหากว่าตกขาวเกิดขึ้นมาในลักษณะของการติดเชื้อรา ก็จะต้องมีการใช้ยาร่วมด้วย ซึ่งอาจจะเป็นยาแบบสอด ยาทาผิวหนังภายนอก หรือยาทาน

นอกจากการหลีกเลี่ยงการเกาหรือสิ่งที่ทำให้แพ้แล้ว ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดด้วย อีกทั้งหากว่าต้องการทำความสะอาดอวัยวะเพศจะต้องไม่ใช้น้ำยาที่มีความรุนแรง ในการใส่กางเกงชั้นในหรือกางเกงต่าง ๆ ก็ไม่ควรใส่ในแบบที่คับหรือแน่นจนเกินไป ควรจะใส่กางเกงที่สามารถระบายอากาศได้ดี รวมถึงเมื่อมีการชำระล้างหรือทำความสะอาดอวัยวะเพศแล้ว ก็ควรที่จะเช็ดให้แห้งด้วย แต่ถ้าหากว่าอาการคันอวัยเพศหญิงภายนอกไม่ท่าทีว่าจะดีขึ้น ก็ควรที่จะรีบไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูดไขมันหน้าท้อง เพื่อหาสาเหตุและหาทางรักษาต่อไป

เคล็ดลับดี ๆ ที่ช่วยลดอาการหายใจไม่เต็มปอด

อาการหายใจไม่เต็มปอด หรือหายไม่อิ่ม เป็นอาการที่ผู้ป่วยจะหอบเหนื่อย หรือเจ็บหน้าอก โดยถือว่าเป็นอาการที่พบได้บ่อย ๆ ซึ่งการที่หายใจได้ไม่เต็มปอดนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หากพบว่าตัวเองมีอาการเหล่านี้ก็จำเป็นต้องรีบเข้าพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ได้ทำการวินิจฉัยอาการ และแยกโรคที่ไม่ได้เป็นสาเหตุออก อีกทั้งยังเป็นการตรวจเช็กดูด้วยว่ามีความผิดปกติอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุของการหายใจไม่อิ่มนี้หรือไม่ ทั้งนี้หากว่ามีอาการหายใจไม่อิ่ม ไม่เต็มปอดเบื้องต้นถ้าอาการไม่หนักก็สามารถที่จะบรรเทาอาการได้ด้วยตัวเอง ในบทความนี้จึงนำได้เคล็ดลับดี ๆ ในการบรรเทาอาการหายใจได้ไม่เต็มปอดมาฝากกัน

อาการหายใจไม่เต็มปอดสามารถบรรเทาอาการด้วยตัวเองได้อย่างไรบ้าง

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วหากว่ามีอาการหายใจไม่เต็มปอดเกิดขึ้น และไม่ได้เป็นหนักมากนัก ก็สามารถที่จะบรรเทาอาการด้วยตัวเองได้ โดยวิธีการบรรเทาอาการด้วยตนเอง ก็มีดังต่อไปนี้

  • ฝึกการหายใจในขณะที่ออกกำลังกาย

การฝึกหายใจในขณะที่ออกกำลังกายไปพร้อมกัน เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้สามารถควบคุมการหายใจไปพร้อมกันเมื่อออกกำลังกายได้ โดยผู้ที่มีอาการหายใจไม่เต็มปอดควรที่จะทำการปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะทำการออกกำลังกาย และจะต้องมีการฝึกหายใจให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการทำมากที่สุด ซึ่งจะเป็นการฝึกหายใจเข้าหรือหายใจออกตามจังหวะในการออกกำลังกาย การฝึกหายใจในขณะออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายมีออกซิเจนที่เพียงพอนั่นเอง

  • ฝึกการหายใจแบบห่อริมฝีปาก

วิธีนี้เป็นวิธีที่จะช่วยให้สามารถควบคุมจังหวะหายใจ ช่วยทำให้ผู้ป่วยนั้นสามารถหายใจได้ช้าลง และหายใจได้ลึกขึ้น ร่างกายเองก็ได้รับปริมาณของออกซิเจนที่เพียงพอ อีกทั้งยังช่วยในการปล่อยอากาศที่ปอดได้กักไว้ให้ออกมา โดยจะต้องทำการหายใจเข้า และเมื่อหายใจออกให้ห่อริมฝีปากไว้เพื่อหายใจออกอย่างช้า ๆ ทั้งนี้อยู่ที่มีอาการหายใจไม่เต็มปอดสามารถที่จะหายใจแบบห่อริมฝีปากได้เสมอ หากมีความรู้สึกว่าตอนนั้นตัวเองมีอาการที่เริ่มหายไม่สะดวก

  • ฝึกการหายใจด้วยท้อง

การฝึกหายใจด้วยท้อง เป็นการช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณกะบังลมสามารถทำงานได้ดีขึ้น และยังเป็นการช่วยให้สามารถหายใจได้อย่างสะดวกมากขึ้นด้วย โดยผู้ป่วยที่ต้องการใช้วิธีนี้จะต้องทำการวางมือข้างหนึ่งทาบลงบนหน้าอก และอีกข้างให้ทาบไว้ที่หน้าท้อง จะสังเกตได้ว่าหน้าท้องจะป่องออกมาเมื่อได้สูดอาการเข้าไปทางจมูก ต่อมาจึงค่อยทำการนำฝ่ามืออีกข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้องแบบเบามือ เพื่อไล่อากาศในขณะที่หายใจออก ซึ่งสามารถทำไปพร้อม ๆ กับการหายใจแบบห่อริมฝีปากด้วยได้ ก็จะสามารถทำให้อาการหายใจไม่เต็มปอดนั้นดีขึ้นนั่นเอง

  • มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้อาการของหลาย ๆ โรคดีขึ้นได้ รวมถึงอาการหายใจไม่อิ่มด้วย โดยผู้ที่มีอาการนี้จำเป็นจะต้องเปิดต้องมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น เพื่อจะนำไปใช้ในการเคลื่อนไหว และการหายใจ เมื่อมีการออกกำลังกายบ่อย ๆ ก็จะช่วยให้ปอดและหัวใจทำงานได้ดีขึ้น และแข็งแรงขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เองถือว่าเป็นผลดีมาก ๆ ต่อการหายใจ นี่จึงเป็นสิ่งที่สามารถช่วยบรรเทาอาการหายใจแบบไม่เต็มปอดได้

  • ผ่อนคลายความเครียดที่มี

ความเครียด หรืออาการที่วิตกกังวล ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มีอาการหายใจไม่เต็มปอดแย่ลงได้ เนื่องจากผู้ที่มีความเครียดควรที่เรียนรู้วิธีการในการรับมือ และสิ่งที่ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดที่มีลงได้ อาจจะเป็นการทำสิ่งที่ชอบ เช่น การดูหนัง ฟังเพลง ทำสมาธิ เล่นโยคะ และอื่น ๆ อีกมากมาย หากทำเช่นนี้ก็จะช่วยลดอาการที่ทำให้หายใจไม่อิ่มลงได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามอาการหายใจไม่เต็มปอดแม้ว่าดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงมากนัก แต่การปล่อยให้ตัวเองอยู่ในภาวะนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี สิ่งที่ควรทำคือหากว่ามีอาการมานาน ไม่หายสักทีก็ควรที่รีบไปพบแพทย์ เพื่อเป็นการหาสาเหตุว่าอาการที่เกิดขึ้นนี้มาจากอะไร และจะต้องการรักษาด้วยวิธีใดบ้างนั่นเอง

มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับยารักษาโรคซึมเศร้ากัน

เมื่อพูดถึงโรคซึมเศร้า แน่นอนว่าในขณะนี้หลาย ๆ คนก็คงได้รู้จัก หรือได้ทราบกันอยู่แล้ว เนื่องจากในช่วงหลัง ๆ มานี้ ผู้คนเป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะมาก ๆ โดยการเป็นโรคซึมเศร้านั้นก็เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ตอนนี้โรคซึมเศร้าเป็นเหมือนโรคหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ช่วงชีวิตของคนเรา เหมือนกับว่านี่เป็นโรคทางกายโรคอื่น ๆ ที่เราคุ้นชิน เช่น การเป็นความดันโลหิตสูง หรือการเป็นเบา การที่เป็นโรคซึมเศร้านั้นไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นคนที่อ่อนแอหรือมีความล้มเหลวในชีวิต แต่เป็นเพียงความป่วยอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันการรักษาโรคซึมเศร้านั้นสามารถทำได้ และมีผู้ป่วยมากมายที่ดีขึ้นหลังจากการรักษาด้วยยารักษาโรคซึมเศร้า

การรักษาโรคซึมเศร้า ที่ไม่ได้ใช้แค่ ยารักษาโรคซึมเศร้า เท่านั้น

ในการรักษาโรคซึมเศร้านั้น สามารถที่จะทำได้ 2 วิธีด้วยกัน คือ การรักษาโรคซึมเศร้าทางจิตใจ และการรักษาด้วยยารักษาโรคซึมเศร้าหลากหลายชนิด โดยแต่ละคนที่เข้ารับการรักษาก็จะมีการตอบสนองต่อยา หรือวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะต้องการที่จะรักษาหลาย ๆ อย่างร่วมกัน แต่บางคนอาจจะรักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยการรับประทานยา ซึ่งการรักษาด้วยนาจะทำให้อาการของผู้ป่วยนั้นดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การรักษาในรูปแบบทางจิตใจนั้นจะเป็นการทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยสามารถที่จะต่อสู้กับปัญหาที่เข้ามาได้ง่ายมากขึ้น

แม้ว่าอาการของโรคซึมเศร้าอาจจะมีความน่าเป็นห่วง ส่วนใหญ่แล้วการรักษาโรคซึมเศร้า ดูดไขมัน อาจไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่จำเป็นจะต้องใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า หรือรักษาจากทางจิตใจ หากว่ามีอาการที่รุนแรงขึ้นของโรค ถึงขนาดที่ว่าผู้ป่วยจะพยายามฆ่าตัวตาย หรือผู้ป่วยไม่สามารถที่จะกินยาได้ ก็อาจจะต้องมีการรักษาผู้ป่วยด้วยไฟฟ้า ทั้งนี้ก็มีการใช้การรักษาลักษณะนี้จะใช้ในเวลาที่จำเป็นเท่านั้น

ยารักษาโรคซึมเศร้า

ยารักษาโรคซึมเศร้า ที่มีอยู่ในขณะนี้สามารถที่จะแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ การแบ่งตัวยาด้วยวิธีการออกฤทธิ์ของตัวยา และลักษณะของโครงสร้างทางเคมีของยา ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มของยาที่ใช้ในการรักษาได้ดังนี้

  1. ยากลุ่ม tricyclic
  2. ยากลุ่ม monoamine oxidase inhibitors (MAOI)
  3. ยากลุ่ม SSRI (serotonin-specific reuptake inhibitor)

ยาที่ใช้สำหรับการรักษาโรคซึมเศร้าแต่ละกลุ่มนั้นมีข้อดีและมีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของการรักษาโรคก็มีเท่าเทียมกัน โดยในการรักษาแพทย์จะทำการให้ยากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้กับผู้ป่วยก่อน เพื่อเป็นการดูว่าจะผู้ป่วยจะมีผลสนองต่อยาเป็นอย่างไร การที่แพทย์ต้องทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่า แพทย์ไม่สามารถทราบได้ว่าจริง ๆ แล้ว ผู้ป่วยนั้นถูกกับตัวยารักษาชนิดใด หลังจากที่ได้จ่ายยาไปแล้ว แพทย์ก็จะค่อย ๆ ปรับตัวยา และขนาดของยาในการรักษาให้เหมาะสมกับตัวผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น

การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าในการรักษานั้น จะช่วยในเรื่องของการปรับสารเคมีในสมองผู้ป่วยให้มีความสมดุลกัน ถือว่าเป็นการรักษาแบบโดยตรง ไม่ใช่ยานอนหลับแบบที่ใครหลาย ๆ คนมักจะเข้าใจผิดกัน โดยผู้ป่วยไม่น้อยเลยที่มักจะมีการหยุดทานยาเร็วกว่าที่แพทย์กำหนด สิ่งสำคัญของการรักษาโรคซึมเศร้าก็คือการกินยาอย่างต่อเนื่องจนกว่าแพทย์จะบอกให้หยุดทานยาได้ แม้ว่าผู้ป่วยจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นดีขึ้นแล้วก็ตาม ซึ่งหากอาการดีขึ้นแล้วแพทย์ก็จะค่อย ๆ ปรับตัวยาให้ลดลง เพื่อเป็นการสร้างการปรับตัวให้กับร่างกายของผู้ป่วย

อย่างไรก็ตามการทานยานอนหลับหรือการทานยาลดความกังวลนั้น ไม่ใช่ยารักษาโรคซึมเศร้าที่สามารถใช้ได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากจำเป็นที่จะต้องมีการปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาอยู่ก่อน หากแพทย์มีเห็นถึงความจำเป็นก็จะสั่งยาชนิดนี้ควบคู่ไปให้ทานด้วย เพื่อเป็นการช่วยลดความกังวลให้กับผู้ป่วยในระยะต้นของการรักษา ที่สำคัญไม่ควรหยุดยาด้วยตัวเอง ซื้อยามาทานเอง ขอยืมยาจากผู้อื่น หรือทานยารักษาจากแพทย์หลายคนพร้อมกัน รวมถึงถ้าเกิดปัญหาอะไรที่เกี่ยวกับการรักษาหรือตัวยา ก็ให้บอกแพทย์ที่รักษาด้วยเสมอ

กลากเกลื้อนเกิดจากอะไร?

หนึ่งในอาการที่เกิดขึ้นทางผิวหนัง และเป็นอาการที่ไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อยมาก นั่นก็คือกลากเกลื้อน คำถามต่อมาคือ กลากเกลื้อนเกิดจากอะไร ซึ่งแท้จริงแล้วปัญหาเหล่านี้เกิดจากการติดเชื้อทั่วไปที่บริเวณผิวหนัง หรืออาจจะเกิดจากเล็บที่มีเชื้อราแฝงอยู่ และนำมาเกาที่ผิวจนกระทั่งติดเชื้อตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้ผิวของคุณมีอาการคันมาก เกิดผื่นแดงในลักษณะวงกลม อาการติดเชื้อประเภทนี้มักจะมีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจงตามตำแหน่งที่ติดเชื้อต่าง ๆ ในร่างกายซึ่งในบทความนี้ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เราจะมาแนะนำให้คุณได้ทำความรู้จักกับ ปัญหาทางผิวหนังประเภทนี้ให้ดียิ่งขึ้น

กลากเกลื้อนเกิดจากอะไร

เพื่อตอบคำถามว่ากลากเกลื้อนเกิดจากอะไร เราได้สรุปมาดังนี้ โดยกลากเกลื้อนมักจะเกิดจากเชื้อราที่กินเคราติน ซึ่งเคราตินนี้ จัดเป็นโปรตีนประเภทหนึ่งที่พบได้ในผิวหนังของมนุษย์, บนผมและเล็บ เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีมักจะมีโอกาสเป็นโรคกลากได้ง่าย วิธีการรักษานั้นก็จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดของกลากแต่อย่างไรก็ตาม การรักษาทั่วไปที่พบได้มากคือการรักษากลากที่เกิดขึ้นบนหนังศีรษะ โดยการเลือกใช้ยามักจะมีดังนี้…

  • Terbinafine (Lamisil) ผลข้างเคียงมักไม่รุนแรงและไม่นาน แต่ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคตับไม่ควรรับประทาน
  • Griseofulvin (Grisovin) ผลข้างเคียงมักจะหายไปอย่างรวดเร็ว มักพบอาการปวดหัว, อาหารไม่ย่อย และคลื่นไส้
  • แชมพูป้องกันเชื้อรา ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของกลาก แต่ไม่สามารถใช้รักษาได้
  • การโกนหัว ไม่มีหลักฐานว่าวิธีนี้จะช่วยลดการติดเชื้อ หรือช่วยทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

กลากที่ผิวหนังและการติดเชื้อที่ขาหนีบ

ส่วนใหญ่ได้รับการรักษาด้วยครีมป้องกันเชื้อรา หากอาการรุนแรงหรือครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ของร่างกาย และไม่ตอบสนองต่อยาทา แพทย์อาจสั่งยาเฉพาะที่ที่มีความเข้มข้นตามใบสั่งแพทย์ แพทย์อาจสั่งยารับประทาน ซึ่งยารับประทานอาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง, ผื่น หรือการทำงานของตับผิดปกติ

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยว่ากลากเกลื้อนเกิดจากอะไร มักจะทำได้จากการตรวจด้วยสายตา เพราะเพียงแค่มองก็เห็นถึงรอยโรคแล้ว แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคกลากหรือการติดเชื้อที่ขาหนีบได้ หลังจากตรวจบริเวณที่ได้รับผลกระทบและถามผู้ป่วยเกี่ยวกับประวัติการรักษาและอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งแพทย์อาจใช้การขูดผิวหนังเล็กน้อยออก ไม่ต้องกังวลเพราะจะไม่เจ็บ และนำผิวที่ขูดออกไปตรวจดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อค้นหาลักษณะของเชื้อรา

วิธีดูแลผิวช่วงติดเชื้อ

  • สิ่งสำคัญคือต้องทำความสะอาดผิวบริเวณนั้นอย่างอ่อนโยน
  • การดูแลผิวอย่างถูกต้องสามารถช่วยเร่งการฟื้นตัวให้ดีมากขึ้นได้
  • เช็ดผิวให้แห้งให้ทั่วและต้องอ่อนโยน
  • ลูบผิวด้วยผ้าขนหนูในบริเวณที่เกิดการติดเชื้ออย่างอ่อนโยน ห้ามถูเด็ดขาด
  • เช็กให้แน่ใจว่ารอยพับและบริเวณระหว่างนิ้วเท้าแห้งสนิทดี
  • เปลี่ยนถุงเท้าหรือชุดชั้นในให้บ่อยกว่าปกติ
  • รักษาเท้าและขาหนีบให้แห้งเสมอ เนื่องจากการติดเชื้อมักแพร่กระจายจากบริเวณหนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
  • สวมเสื้อผ้าที่มีความหลวมและสวมชุดชั้นในหลวม ๆ เช่น กางเกงบ็อกเซอร์ เป็นต้น

เคล็ดลับป้องกันโรคกลาก

  • ถ้าสัตว์เลี้ยงของคุณเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ ควรให้สัตวแพทย์รักษาสัตว์เลี้ยงของคุณให้หายขาด สัตว์เลี้ยงเองก็รักษาให้หายได้
  • ควรล้างมืออย่างสม่ำเสมอด้วยสบู่
  • ไม่ควรใช้หวี, เสื้อผ้า, ผ้าเช็ดตัว หรือรองเท้าร่วมกัน
  • ผู้ที่มีปัญหากลากเกลื้อนไม่ควรเกาบริเวณที่ติดเชื้อ เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อมากขึ้น
  • ควรซักเสื้อผ้าในน้ำร้อนด้วยสบู่ฆ่าเชื้อรา
  • การสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ อาจช่วยลดความเสี่ยงได้

นี่คือคำตอบว่า กลากเกลื้อนเกิดจากอะไร ปัญหาที่เกิดกับผิวแม้อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายโดยรวมมากนัก แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจและอาการคันที่เกิดขึ้น จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันในระดับสูง ดังนั้นเมื่อเกิดโรคติดเชื้อทางผิวหนังแล้ว คุณควรรีบหาทางรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อทำให้กลับมามีชีวิตที่เป็นปกติสุข หัวใจสำคัญคือการรักษาความแห้งของผิวตามมุมต่าง ๆ ที่มักจะอับชื้นหมักหมม และพยามรักษาความสะอาด อาบน้ำบ่อย ๆ ล้างมือตลอดเวลาให้เป็นนิสัย ในกรณีที่คุณเลี้ยงสัตว์ก็จะต้องตรวจสอบด้วยเช่นกันว่าสุขภาพของสัตว์เลี้ยงของคุณมีความแข็งแรงดี ไม่เป็นโรคทางผิวหนัง แต่ถึงจะเป็นก็ไม่ต้องกังวล เพราะว่าสามารถรักษาหายได้

เจ็บซี่โครงซ้าย สามารถเป็นโรคอะไรได้บ้าง

สำหรับอาการเจ็บซี่โครง อาจจะเป็นอาการที่ไม่ได้พบบ่อยนักแต่ถึงกระนั้น เมื่ออาการความเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นมาแล้ว คุณก็ไม่ควรที่จะไว้วางใจ ควรเร่งหาสาเหตุหรือเดินทางไปพบแพทย์ทันที อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ เราก็ได้นำข้อมูลดี ๆ ที่เกี่ยวกับซี่โครงมาฝากคุณกัน โดยเฉพาะผู้ที่มักจะมีอาการ เจ็บซี่โครงซ้าย สาเหตุสามารถเกิดจากอะไรได้บ้าง มีความอันตรายร้ายแรงถึงเพียงไหนมาดูกัน

เจ็บซี่โครงซ้าย ต้องศึกษาให้ครบรอบด้าน

โดยโครงกระดูกของมนุษย์ จะประกอบด้วยกระดูกซี่โครงจำนวน 24 ซี่ โดยแบ่งออกเป็นทางซ้าย 12 ซี่และทางขวาอีก 12 ซี่ หน้าที่ของกระดูกซี่โครง คือช่วยปกป้องอวัยวะภายในที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้ ซี่โครงทางด้านซ้ายทำหน้าที่ปกป้องหัวใจ, ปอดด้านซ้าย,ตับอ่อน, ม้าม, กระเพาะอาหาร และอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่ออวัยวะที่ซุกซ่อนตัวเหล่านี้เกิดการติดเชื้อขึ้นมา เกิดอาการบาดอักเสบหรือได้รับบาดเจ็บอันใด ความเจ็บปวดก็จะถาโถมขึ้นมาและสามารถทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับว่าเจ็บซี่โครงอยู่ก็เป็นได้ ส่วนใหญ่แล้วอาการ เจ็บซี่โครงซ้าย มักจะเกิดจากภาวะความเจ็บป่วยที่ไม่ร้ายแรงสักเท่าไหร่นัก และสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยกลุ่มอาการและโรคต่าง ๆ ที่มักจะพบเจอ ได้แก่

โรคคอตีบ

การอักเสบของกระดูกอ่อนที่ยึดซี่โครงของคุณ กับกระดูกหน้าอกของคุณ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น…

  • การติดเชื้อ
  • การบาดเจ็บทางร่างกาย
  • โรคข้ออักเสบ
  • มีเจ็บปวดคล้ายของแหลมคมแทง

ตับอ่อนอักเสบ

เป็นต่อมที่อยู่ใกล้กับลำไส้เล็กที่ส่วนบนซ้ายของร่างกาย ทำหน้าที่หลั่งเอนไซม์และน้ำย่อยเข้าไปในลำไส้เล็กเพื่อช่วยสลายอาหาร เกิดได้จากสาเหตุ

  • อาการบาดเจ็บ
  • การดื่มสุรา
  • โรคนิ่ว
  • อาการ เจ็บซี่โครงซ้าย ที่เกิดจากตับอ่อนอักเสบ มักจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และรุนแรงขึ้นหลังรับประทานอาหาร

ม้ามแตกหรือกล้ามเนื้อม้ามแตก

ม้ามของคุณอยู่ใกล้กับซี่โครงซ้ายของคุณ ช่วยขจัดเซลล์เม็ดเลือดเก่าหรือที่เสียหายและผลิตเซลล์สีขาวที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ อาการม้ามโตหรือที่เรียกว่าม้ามโต มักไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ นอกจากความอิ่มที่มากล้นหลังจากรับประทานอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากม้ามแตก คุณจะมีอาการปวดบริเวณซี่โครงด้านซ้าย โดยอาจมีสาเหตุมาจาก

  • การติดเชื้อไวรัส เช่น โมโนนิวคลีโอสิส
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซิฟิลิส
  • การติดเชื้อปรสิต เช่น มาลาเรีย
  • โรคเลือด
  • โรคตับ

หากม้ามแตก จะมีอาการอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น…

  • ความดันโลหิตต่ำ
  • มีอาการวิงเวียนศีรษะ
  • มองเห็นไม่ชัด
  • คลื่นไส้

ส่วนใหญ่การแตกของม้ามมักเกิดขึ้นจากการบาดเจ็บจากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์และคุณควรไปพบแพทย์ทันที

โรคกระเพาะ

คือการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งอยู่ใกล้กับด้านซ้ายของซี่โครงด้วย อาการอื่น ๆ ของโรคกระเพาะ เช่น

  • ปวดท้องตอนบน
  • รู้สึกไม่สบายตัวในช่องท้องส่วนบน

นอกจากนี้โรคกระเพาะยังอาจเกิดจาก

  • ติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส
  • การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) บ่อยครั้ง
  • การดื่มสุรา
  • นิ่วในไตหรือการติดเชื้อ

เพราะไตของคุณเป็นส่วนหนึ่งของทางเดินปัสสาวะของมนุษย์ จะอยู่ที่ด้านข้างของกระดูกสันหลังทั้ง 2 ข้าง แต่เมื่อเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ ความเจ็บปวดจะแผ่ออกไปที่ด้านหน้า ทำให้คุณอาจรู้สึกเจ็บซี่โครงซ้ายได้

ปัสสาวะไม่ออก

มักมาพร้อมอาการเหล่านี้เพิ่มเติม

  • ปัสสาวะเป็นเลือดหรือขุ่น
  • ปวดข้างซ้ายและแผ่ไปด้านหน้าของร่างกาย

การติดเชื้อที่ไต เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียจากทางเดินปัสสาวะเข้าสู่ไต สิ่งใดก็ตามที่ขัดขวางการไหลของปัสสาวะของคุณ รวมถึงนิ่วในไต อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ไตได้ อาการเพิ่มเติมของการติดเชื้อที่ไต ได้แก่…

  • มีไข้
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน

ซึ่งคุณผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าคุณจะมีอาการเจ็บซี่โครงซ้าย แต่การวินิจฉัยนั้นจะต้องกระทำโดยละเอียด เพราะว่าสามารถส่งผลทำให้เกิดโรคได้หลายโรค ตั้งแต่โรคที่สามารถรักษาหายได้อย่างรวดเร็ว ไปจนกระทั่งโรคที่ต้องได้รับการผ่าตัดและพักฟื้นเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้นอาการเจ็บที่โครงซ้ายนี้จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ และไม่สามารถที่จะตรวจสอบหาสาเหตุได้แต่ภายนอกเพียงอย่างเดียว โดยอาจจะต้องมีการตรวจภายใน เช่น การเอ็กซเรย์, การเช็กผลเลือดและอื่น ๆ ซึ่งควรกระทำโดยแพทย์อย่างเร่งด่วน

การปวดท้องบิดมีอาการเป็นอย่างไร แก้ไขอย่างไร

การปวดท้องบิดมักจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นมาจากการติดเชื้อในลำไส้ ส่งผลทำให้เกิดอาการท้องเสีย ถ่ายท้องเป็นน้ำ หรือถ่ายเป็นเลือด ซึ่งสามารถเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียก็ได้ สำหรับเชื้อที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องบิดที่พบได้บ่อยมากที่สุด นั่นก็คือเชื้อบาซิลลารีเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่าชิเกลโลซิส มีผู้คนประมาณ 500,000 รายในสหรัฐอเมริกาได้รับเชื้อนี้ทุกปี perfect.in.th และเป็นอีกหนึ่งอาการที่ไม่พึงประสงค์ที่พบได้มากในผู้ป่วยชาวไทย

การปวดท้องบิดเกิดจากการติดเชื้อ

โรคบิดอะมีบามาจากปรสิตที่มีชื่อว่า Entamoeba histolytica ซึ่งจะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคบิดชนิดนี้มากขึ้น ถ้าคุณเดินทางไปยังพื้นที่เขตร้อน คุณสามารถเป็นโรคบิดได้ถ้าคุณรับประทานอาหารที่ปรุงจากพ่อครัวที่มีเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อครัวทำอาหารป่วย และไม่ได้ล้างมือก่อนทำอาหาร นำมือที่มีเชื้อมาหยิบจับอาหารต่าง ๆ เพื่อนำมาปรุง ผู้ที่รับประทานก็สามารถป่วยได้

หรือในกรณีที่คุณนำมือไปสัมผัสกับพื้นที่ที่มีปรสิตหรือแบคทีเรียเกาะอยู่ และนำมือนั้นมาจะหยิบจับอาหารนำเข้าปาก ก็จะทำให้คุณติดเชื้อเช่นกัน เช่นที่จับห้องน้ำ, ลูกบิดอ่างล้างหน้า, โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ดังนั้นจึงมีการรณรงค์ให้มีการล้างมือให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา เพราะการล้างมือให้สะอาดเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องคุณให้รอดพ้นจากการติดเชื้อ หรือป้องกันความไม่สบายต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี การปวดท้องบิดจะปรากฏขึ้นในระยะเวลา 1 – 3 วันหลังจากที่คุณได้รับเชื้อเข้าไป หรือผู้ป่วยบางรายอาจจะใช้เวลานานกว่านี้ กว่าที่อาการจะปรากฏ

โรคบิดที่ได้รับเชื้อจากที่แตกต่างกันในแต่ละประเภท

การปวดท้องบิดก็จะส่งผลทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่ต่างกันไปด้วย สำหรับโรคบิดที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จะส่งผลทำให้เกิดอาการ ได้แก่…

  • ท้องเสีย
  • ปวดท้อง
  • เป็นตะคริว
  • มีไข้
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • ในขณะที่ถ่ายท้องพบว่า มีเลือดหรือเมือกไหลปนออกมาด้วย

โรคบิดที่ติดจากเชื้ออะมีบา

จะไม่ก่อให้เกิดอาการแบบรวดเร็ว แต่คุณจะพบกับอาการที่ไม่พึงประสงค์ 2 – 4 หลังจากที่ติดเชื้อชนิดนี้ อาการที่พบได้มากคือ

  • คลื่นไส้
  • ท้องเสีย
  • ปวดท้อง
  • น้ำหนักลดในระยะเวลาอันรวดเร็ว
  • มีไข้ขึ้น
  • ตับบวม

ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับโรคบิด

  • ในสหรัฐอเมริกา อาการแสดงของการปวดท้องบิดนี้มักไม่รุนแรงและมักหายไปภายใน 2 – 3 วัน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงจะไม่ไปพบแพทย์
  • ในแต่ละปีทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อชิเกลลาระหว่าง 120 ล้านถึง 165 ล้านราย โดย 1 ล้านคนเสียชีวิต กว่าร้อยละ 60 ของผู้เสียชีวิตเหล่านี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีในประเทศกำลังพัฒนา
  • กลุ่มอะมีบา จะรวมตัวกันเพื่อสร้างซีสต์ และซีสต์เหล่านี้จะโผล่ออกมาจากร่างกาย ผสมมากับอุจจาระของมนุษย์
  • ในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี อะมีบาสามารถปนเปื้อนอาหารและน้ำ และแพร่เชื้อให้กับมนุษย์จำนวนมากได้ เนื่องจากสามารถอยู่รอดได้นอกร่างกายเป็นเวลานาน
  • การปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี จะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ นั่นก็คือการล้างมือ

การป้องกันโรคบิด

  • โรคบิดส่วนใหญ่เกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดี
  • ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ จึงควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนและหลังใช้ห้องน้ำและก่อนเตรียมอาหาร จะสามารถลดความถี่ของการติดเชื้อ Shigella และอาการท้องร่วงประเภทอื่น ๆ ได้มากถึง 35 เปอร์เซ็นต์
  • ดื่มน้ำที่มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น เช่น น้ำขวด ที่มีชื่อเสียง
  • สังเกตการเปิดขวดและทำความสะอาดขอบฝาขวดก่อนดื่ม
  • เช็กว่าอาหารปรุงสุกดี
  • หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหรืออมน้ำแข็ง เนื่องจากอาจไม่ทราบแหล่งที่มาของน้ำที่นำมาทำน้ำแข็ง แต่ถ้าเป็นน้ำแข็งจากที่บ้านที่คุณทำเองสามารถไว้วางใจได้

หลังจากที่คุณถ่ายท้องและจิบเกลือแร่ที่เป็นเกลือแร่เฉพาะสำหรับการชดเชยการสูญเสียน้ำ อันเนื่องมาจากการท้องเสียแล้ว แต่ก็ยังพบว่าไม่ดีขึ้น ซ้ำอาการยังแย่ลงเรื่อย ๆ แนะนำให้คุณรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะการถ่ายท้องมากจนเกินไปทำให้ร่างกายขาดน้ำและอาจทำให้เกิดภาวะช็อก จนกระทั่งทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ดังนั้นการปวดท้องบิดจึงเป็นอาการที่คุณไม่ควรมองข้ามว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป

ทำความรู้จักกับการปฏิสนธิให้ดีขึ้น

เมื่อพูดถึงการทำกิจกรรมมีเพศสัมพันธ์ จนกระทั่งทำให้เกิดการมีลูกขึ้นมานั้น กระบวนการนี้เรียกว่ากระบวนการปฏิสนธิ ซึ่งเชื้ออสุจิจะเข้าไปผสมกับรังไข่ อย่างไรก็ตามในบทความนี้ เราอยากจะขอเชิญชวนคุณผู้อ่าน มาเสริมสร้างความรู้ในการทำความรู้จักกับการปฏิสนธิให้ดีขึ้นกัน

การปฏิสนธิสร้างอีกหนึ่งชีวิต

ทุก ๆ ครั้งที่คุณมีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากการคุมกำเนิด มีสิทธิ์ที่จะทำให้เกิดการตั้งครรภ์หรือมีบุตรขึ้นมา แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะสมหวังดังใจ โดยการปฏิสนธิที่ประสบความสำเร็จนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ต้องการเพียงแค่อสุจิตัวเดียวเท่านั้น แต่จะมีเพียงแค่อสุจิ 1 ตัวเท่านั้นที่จะเข้ามาหลอมรวมกับไข่ หลังจากนั้นเมื่อเกิดกระบวนการปฏิสนธิแล้ว เซลล์ก็จะเริ่มขยายพันธุ์และเจริญเติบโต ซึ่งในกระบวนการฝังรากเทียมผู้หญิงบางคนรู้สึกว่าเป็นตะคริวที่บริเวณท้อง หรือมีความรู้สึกปวดหน่วงในกระบวนการฝังรากเทียม แต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะมีอาการเช่นนี้เหมือนกันหมด

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ

  • ไข่ ประกอบด้วย 23 โครโมโซม รวมกับสเปิร์ม ประกอบด้วย 23 โครโมโซม การปฏิสนธิเกิดขึ้น จากการสร้างไซโกตที่มีโครโมโซม 46 ตัวใน 23 คู่ เจริญเป็นเอ็มบริโอ 46 โครโมโซม 23 คู่
  • ในมนุษย์การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในร่างกายของผู้หญิง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่าการปฏิสนธิภายใน

การเดินทางของอสุจิ

อสุจิเองก็พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กันโดยที่ไม่ได้มีการป้องกัน อาจจะมีอสุจิบางตัวที่สามารถหลุดรอดเข้าไปในปากมดลูก และพุ่งเข้าสู่มดลูกได้ ซึ่งการผสมเทียมในส่วนนี้อสุจิจะถูกนำเข้าสู่ปากมดลูกหรือมดลูกโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ อสุจิจะใช้หางของตนเองว่ายผ่านปากมดลูกเข้าไปในช่องคลอดและมดลูกจะทำหน้าที่เครื่องอสุจิผ่านเข้าไปในท่อนำไข่ หลังจากที่มีอสุจิจำนวนมากเข้าสู่มดลูกแล้ว จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นและถูกส่งออกไปโจมตีอสุจิตัวที่ไม่แข็งแรง แต่บางครั้งอสุจิที่มีสุขภาพดีก็ถูกโจมตีได้ ซึ่งจะมีเพียงแค่เสี้ยวเดียวของอสุจิเท่านั้นที่สามารถเดินทางเข้าสู่ท่อนำไข่ได้ หลังจากที่อสุจิเข้าไปในท่อนำไข่ได้แล้ว อสุจิก็จะถูกดึงดูดเข้าไปจึงกระทั่งเกิดการปฏิสนธิกับไข่ ซึ่งการเดินทางของเชื้ออสุจินั้นไม่ง่ายเลย เพราะว่าจะต้องผ่านอุปสรรคนานัปการ เช่น…

  • ทำการเจาะกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่าคิวมูลัส oophorus ที่ล้อมรอบไข่ อสุจิจะละลายเซลล์เหล่านี้โดยใช้เอนไซม์
  • อสุจิทะลุผ่านเยื่อหุ้มชั้นนอกของไข่ และย่อยเมมเบรนนี้ด้วยการใช้เอนไซม์
  • เมื่ออสุจิเข้าไปในไข่แล้ว เยื่อหุ้มเซลล์นี้จะเปลี่ยนแปลง และกลายเป็นตัวอสุจิอื่นที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
  • ตอนนี้อสุจิติดอยู่ที่นิวเคลียสของสเปิร์ม ซึ่งเป็นที่เก็บโครโมโซมเข้าสู่เซลล์ไข่เพื่อค้นหานิวเคลียสของไข่
  • เมื่ออสุจิพบกับไข่ นิวเคลียสจากไข่และสเปิร์มจะรวมกันและแบ่งสารพันธุกรรมของตัวเอง
  • ถ้ากระบวนการเหล่านี้ไปได้ด้วยดี สิ่งที่ไข่ที่ปฏิสนธิจะกลายเป็นไซโกต ตอนนี้ไข่มีสารพันธุกรรมทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการเป็นมนุษย์แล้ว

ใช้เวลา 6 – 12 วัน

หลังจากที่ผ่านกระบวนการปฏิสนธิแล้ว ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิก็จะใช้เวลาประมาณ 6 – 12 วันในการเดินทางไปยังมดลูก และเข้าไปยึดเกาะกับมดลูกซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่าการฝังนั่นเอง ไข่จะต้องเกาะติดกับมดลูกเท่านั้นถึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่อย่างไรก็ตามในบางกรณีไข่ที่ปฏิสนธิแล้วไม่สามารถทำการฝังได้ ก็จะมีกระบวนการตั้งครรภ์เป็นกระบวนการ ที่ค่อนข้างซับซ้อนมากเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีกระบวนการฝังที่ค่อนข้างอันตรายส่งผลเสียต่อผู้หญิงอีกด้าน นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าการตั้งครรภ์นอกมดลูก เพราะในบางกรณีไข่ดันไปติดที่อื่นเช่น ท่อนำไข่เป็นต้น ซึ่งการตั้งครรภ์ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นสิ่งที่ส่งผลอันตราย จึงควรต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน

การตั้งครรภ์เป็นกระบวนการที่เมื่อพูดในภาษาชาวบ้านทั่วไปอาจจะฟังดูง่าย เพียงแค่มีเพศสัมพันธ์แบบปล่อยในและไม่ต้องมีการควบคุมเท่านั้น แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของผู้หญิง เป็นการปฏิสนธิที่ซับซ้อนมาก และต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามของเชื้ออสุจิ ดังนั้นการมีลูกจึงเป็นเรื่องที่สร้างความสุขและเปรียบเสมือนเป็นการสร้างของขวัญให้ชีวิตของครอบครัวหลาย ๆ คนถือเป็นเรื่องดี ที่จะได้มีลูกเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับครอบครัว และทำให้ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมานั้นมีความสุขตามแบบฉบับ ของแต่ละครอบครัวอย่างดีที่สุด

รวมความรู้ที่เกี่ยวกับอาการท้องลม ภาวะแท้งชนิดหนึ่ง

อาการท้องลมจัดเป็นภาวะแท้งประเภทหนึ่ง ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงระยะแรกของการตั้งครรภ์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Blighted ovum เป็นอีกหนึ่งภาวะที่สร้างความสับสนให้แก่คุณแม่เป็นอย่างยิ่ง โดยอาการท้องลมนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร มีความอันตรายหรือไม่ และหลังจากที่เกิดอาการท้องลมแล้วจะต้องมีทางแก้ไขอย่างไรต่อไป จะต้องมีการขูดมดลูกหรือไม่ ในบทความนี้เราจะมาไขข้อกระจ่างกัน

ทำความรู้จักกับอาการท้องลม

สำหรับอาการท้องลมคือการที่ไข่ถูกทำลาย ทำให้ทารกไม่อาจที่จะเติบโตได้ ซึ่งมีคำเรียกอีกคำว่าการตั้งครรภ์แบบโลหิตจาง โดยจะไม่มีตัวอ่อนหรือทารกที่กำลังพัฒนาอยู่ในครรภ์ แต่ไข่ที่ถูกทำลายไปนั้นก็ยังถูกสร้างอยู่ในฮอร์โมน ดังนั้นในบางครั้งการตรวจครรภ์อาจแสดงผลว่า คุณแม่กำลังตั้งท้องอยู่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้

โดยการแท้งในลักษณะนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ในสัปดาห์ที่ 7 – 12 ของการตั้งครรภ์ ต่อมาร่างกายของคุณจะเกิดความเข้าใจว่าการตั้งครรภ์นี้ทารกไม่ได้มีการพัฒนาอย่างเหมาะสม จึงเริ่มขับเลือดและขับเนื้อเยื่อออกมาจากมดลูก อาการท้องลมสร้างความเศร้าเสียใจให้กับคุณแม่เป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าหรือความทุกข์ขึ้นภายในจิตใจ ทำให้เกิดภาวะอารมณ์ที่แตกต่างกันเช่น ความโกรธ, ความเสียใจ,ความรู้สึกผิดโทษตัวเองและอื่น ๆ วิธีตรวจสอบว่าการตั้งครรภ์ของคุณนั้นเป็นภาวะท้องลมหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ด้วยการอัลตร้าซาวด์

วิธีการรักษาอาการท้องลม

หลังจากที่ทราบแล้วว่า คุณเกิดอาการท้องลมขึ้นมา สามารถทำการแก้ไขได้ด้วยหลายวิธี แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าคุณต้องการให้ร่างกายขับเนื้อเยื่อหรือเลือดต่าง ๆ ออกมาตามธรรมชาติ ก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ขับสิ่งที่ร่ายกายไม่ใช้แล้วออกมา แต่ในกรณีที่จู่ ๆ มีเลือดออกมากขึ้น หรือรู้สึกปวดอย่างรุนแรง หรือรู้สึกไม่สบายประการใดควรที่จะต้องรีบไปพบแพทย์โดยทันที

อาการท้องลม ลดโอกาสในการมีลูกในอนาคตหรือไม่?

ภาวะท้องลม ไม่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ภายในอนาคต ทำให้คุณแม่หลายหลายคนสามารถมีโอกาสที่จะมีลูกได้อีกตามต้องการ

อธิบายอาการท้องลมโดยละเอียด

ไข่ที่ไม่สมบูรณ์จะเกิดขึ้นเร็วมากในกระบวนการพัฒนาตัวอ่อน เมื่ออสุจิเดินทางไปถึงไข่ ไข่จะปฏิสนธิและเริ่มการผลิตเซลล์ใหม่อย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในการตั้งครรภ์ปกติ ไข่ที่ปฏิสนธิจะเติบโตจากก้อนเซลล์ไปเป็นตัวอ่อนภายในวันที่ 10 ของการพัฒนา หลังจากนั้นตัวอ่อนจะฝังตัวเข้าไปในผนังมดลูก กระบวนการนี้จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนการตั้งครรภ์ในระดับสูงในร่างกายและทำให้รกเริ่มพัฒนา ทารกในครรภ์จะเติบโตต่อไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และประมาณสัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์ ในที่สุดก็จะมองเห็นได้จากการตรวจอัลตราซาวนด์

อาการท้องลม เกิดจากการที่กระบวนการเริ่มต้นนี้ดำเนินการอย่างไม่เสร็จสมบูรณ์ บางครั้งไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว ไม่สามารถพัฒนาเป็นตัวอ่อนได้ แต่ยังคงฝังตัวอยู่ในมดลูก หรือมีอีกกรณีที่ที่เป็นไปได้คือการเปลี่ยนจากไข่ที่ปฏิสนธิไปเป็นตัวอ่อนประสบความสำเร็จ แต่ตัวอ่อนหยุดพัฒนาภายใน 2 – 3 วันหลังจากฝังตัวติด แพทย์จะทำการวินิจฉัยไข่ที่ถูกทำลาย จะทำอัลตราซาวนด์พร้อมทั้งตรวจสอบว่าถุงตั้งครรภ์นั้นว่างเปล่าหรือไม่ ถ้าไม่มีร่องรอยของตัวอ่อนแสดงว่าเกิดอาการท้องลมแน่แล้ว โดยถุงเปล่านี้สามารถยืนยันได้ภายในสัปดาห์ที่ 8 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งปกติแล้วจะเห็นตัวอ่อนได้ แต่ถ้าไม่เห็นก็แสดงว่ากระบวนการตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์

เมื่อเกิดอาการท้องลมขึ้นมา สิ่งแรกที่คุณแม่หลาย ๆ คนรู้สึกคือ ความเสียใจหรือพาลจนกระทั่งไปโทษตัวเอง ซึ่งคุณไม่ควรที่จะโทษตัวเองแต่อย่างใด เพราะเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าภาวะร่างกายจะไม่เกิดอันตรายมากนัก ในส่วนของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ร่างกายก็จะพยายามขับออกมาเอง แต่ในส่วนของสภาพจิตใจนั้นจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลและฟื้นฟูกันต่อไป แต่ก็ขอเน้นย้ำเลยว่าในอนาคต คุณแม่สามารถตั้งครรภ์ได้ใหม่อีกครั้งแบบไม่ต้องกังวลและไม่มีปัญหาอันใด แต่ในกรณีที่คุณพบกับภาวะท้องลมนี้ติดต่อกันหลายครั้ง ตั้งแต่ 2 – 3 ครั้งขึ้นไป แนะนำว่าควรให้ปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุด